เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ก.ย. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตามธรรมนะ ตามสภาวธรรมเราเข้าใจกันว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าวนี่อาหารของมันมันก็ต้องมีอาหารของมันเหมือนกัน เรามีทั้งกายแล้วมีทั้งใจเรายังมีโอกาส ดูอย่างคนตายสิ เจ้านายเขาไปแล้วเจ้านายเขาตายไปแล้วเจ้านายก็ลุกออกไป เจ้านายไปเสวยภพของเขา ตอนนี้เหลือแต่บ่าวแล้วบ่าววันนี้เขาจะเอาบ่าวเข้าไปเผาร่างกายนี้ต้องเอาไปเผา มันก็ต้องทำลายไปต้องเผาไปเพราะเอาไว้มันก็จะเน่าจะเป็นสิ่งที่รังเกียจ 

ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่เราเป็นคนที่ว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่เรายังมีโอกาส เจ้านายของเรายังอยู่แล้วเราก็เอาใจของเราเอาเจ้านายของเราสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อเป็นสิ่งที่ว่ามันจะได้อาศัย ความสุขใจ เวลาเราสุขใจเราพอใจเราสุขใจนั้นคือบุญ เวลาเราทุกข์ใจขึ้นมานี่สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมาเราไม่ต้องการ เราพยายามจะขับไสออกไปนี่ อันนั้นเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นทุกข์เป็นอวิชชา เจ้านายก็ต้องเสวยเสวยทั้งทุกข์เสวยทั้งสุข สิ่งที่อยากเสวยนี่สุขแต่มันไม่สมความปรารถนาเพราะสิ่งที่ได้ทำมาหรือไม่ได้ทำมา สิ่งที่ทำมา ทำไมบอกถึงว่าทำมาและไม่ได้ทำมา  

พาหิยะเป็นว่าเรือล่มพอเรือล่มก็แตกเรือมา พอแตกเรือมาทุกอย่างมันโดนน้ำพัดไป เขาเป็นคนชีเปลือยขึ้นมานี่แล้วพอขึ้นฝั่งมาเวลาเขาพูดธรรมะ คนเขาเชื่อกันมากศรัทธากันมากแต่เพื่อนของเขา ในเพื่อนของเขาที่เคยทำมากันนี่ ในอดีตชาติมาเตือนว่า เขายังไม่ใช่พระอรหันต์ ต้องไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าพอไปฟังเทศน์พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่พระพุทธเจ้าบอกว่าเวลานี้เป็นเวลาที่บิณฑบาตอยู่มันยังไม่ใช่เวลาที่จะฟังธรรม นี่บอก ขอฟังเถิดเพราะว่าคนเราชีวิตไม่แน่นอนพระพุทธเจ้าแสดงธรรมบทเดียวเท่านั้นนะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลยนะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา 

พาหิยะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บวชนะแล้วไปหาบริขารอยู่ ต้องมีบริขาร ๘ ไปหาสิ่งนั้นไม่ได้ จนควายขวิดตายสิ่งที่ทำมาแล้วย้อนไปในพระไตรปิฎก ว่าอดีตชาติเขาเคยเป็นนักบวช๖ องค์หรือ ๕องค์นี่พากันขึ้นบนเขา เขายอดตัด แล้วเวลาขึ้นไปแล้วนี่ทำบันไดขึ้นไปเสร็จขึ้นไปแล้วทำลายบันไดออก ตั้งกติกากันว่าถ้าใครขึ้นไปภาวนานี่ถ้าสำเร็จออกมาก็ให้เหาะลงมา มีเหาะลงมาสำเร็จแล้วเหาะลงมา ๒ องค์แต่อีก ๓ คนตายไป ตายไปเพราะว่าความประพฤติปฏิบัติเพราะความจงใจของเขาตั้งแต่ชาตินั้นเวลาเขาตายไปเขาทำไม่ถึงที่สุด สร้างสมบุญกุศลมา เขาได้สร้างของเขามาเวลามาเกิดเป็นพาหิยะขึ้นมานี่สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของใจ พื้นฐานของใจฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีเดียวเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย นี่ปฏิบัติง่ายไง 

เวลาเราปฏิบัติ เวลาสุขเวลาทุกข์ในหัวใจเราต้องเสวยทั้งหมดแต่เราจะเอาสิ่งใด เราต้องการสิ่งใด เราจะต้องการความปรารถนาสิ่งใดมันก็ไม่สมความปรารถนาๆ เพราะสิ่งนั้นมันเกิดจากตัณหาความทะยานอยากเกิดจากสิ่งที่ว่ามันปรุงแต่งของมันขึ้นมาตามความต้องการของมันขึ้นมาแต่สิ่งนั้นมันไม่เป็นประโยชน์กับมันเลยเพราะความคิดอันนั้นไม่เป็นประโยชน์ เราต้องสยบความคิดอันนี้ให้ได้ก่อน สยบความคิดอันนี้ ความคิดเวลาเป็นความคิด มันเป็นความเดือดร้อน 

แต่เวลาหน้าที่การงานที่เราคิดออกไปเป็นการงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งเวลาทำงานเป็นการทำงานส่วนหนึ่ง บอกว่าเวลาไม่คิดเลยกิเลสมันจะแย้งไง แย้งว่าถ้าไม่คิดเลยเราจะประกอบอาชีพอย่างไรเราจะทำงานของเราได้อย่างไร หน้าที่การงานเป็นหน้าที่การงานแต่ความคิดของเราเวลาทำงานมันคิดเฉพาะหน้าที่การงานไหมมันมีความโต้แย้งมีความปรารถนาของมัน อันนั้นคือตัณหาความทะยานอยากสิ่งที่ตัณหาความทะยานอยากเกิดขึ้นจากใจ 

เจ้านายอันนี้มันเสวยทั้งสุขเสวยทั้งทุกข์บ่าวนี้มันอาศัยแค่ปัจจัย ๔ แต่เวลาเราเห็นขึ้นมานี่เราอยู่กับเราของเราขึ้นมานี่ เราเห็นกายกับใจ เรามองเห็นสภาวะเราส่งออกไปทั้งหมดเลยมองไปแต่ข้างนอกนะ สิ่งที่ข้างนอกนี่สิ่งนั้นเป็นที่พึ่งอาศัย สิ่งต่างๆเป็นที่พึ่งอาศัยแต่ไม่คิดถึงเลยว่า ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกถ้ามันขาดตอนขึ้นมานี่ มันต้องไปเสวยภพของมันตามสภาวะของมัน แล้วร่างกายนี้ก็ต้องทิ้งไป ทิ้งไปโดยที่ไม่มีโอกาสนะ สิ่งที่ไม่มีโอกาสเลยแล้วต้องไปเผาต้องไปฝังเพื่อทำลายสิ่งนี้ออกไป 

เวลาอยู่กับเรามันจะเป็นประโยชน์ได้ถ้าเราใช้ประโยชน์ แต่ถ้าเราพลัดพรากจากกันไปแล้วมันจะไม่เป็นประโยชน์เลยสิ่งนั้น เวลาธาตุไฟออกจากร่างก่อน จิตวิญญาณนี้ออกไปก่อน ธาตุลมหยุดนิ่งอยู่ มีน้ำกับดินอยู่ในนี้มันต้องแปรสภาพออกไปอันนี้เราเข้ามามรณานุสติ เราคิดถึงสิ่งนี้ขึ้นมานี่ความคิดมันจะไม่ออกไปข้างนอกตามอำนาจของมันมรณานุสติคิดถึงความตายอยู่เพื่อจะให้มันสลดให้มันสังเวชเข้ามา สิ่งที่สลดสังเวชเข้ามา 

เราเกิดมามันมีโอกาสถ้าเราใช้โอกาสของเราเจ้านายก็อยู่นี่บ่าวก็อยู่นี่ พากันทำบุญกุศลพากันประพฤติปฏิบัติ ถ้าประพฤติปฏิบัติทาน ศีลภาวนา การสละทาน การให้ทานเป็นประโยชน์ทั้งหมด สิ่งนี้เป็นประโยชน์ออกไปเพราะสิ่งนี้มันเป็นกำลังงานของเรา เราแสวงหามานี่เป็นงานของเรา แล้วเราสละสิ่งนี้ออกไปเพื่อประโยชน์กับสัตว์โลกแล้วถ้าเรามีปัญญาขึ้นมาเราเลือกเนื้อนาบุญเรา ถ้าเลือกเนื้อนาบุญของเรา เราหว่านพืชไปหวังผลของเรา หว่านลงไปขนาดไหนผลจะเกิดขนาดไหน มันเป็นที่ความปรารถนาความตั้งใจของเรา แล้วมันก็ต้องประสบอันนั้นด้วย 

คนเราปรารถนานะ มีมากเลยเวลาคนเราชาวพุทธเราเวลาไปอยู่ต่างประเทศจะคิดถึงเลยว่าเราไม่มีโอกาสเจอพระ เวลาเราว้าเหว่ขึ้นมาจะไม่มีที่พึ่ง เวลาอยู่ใกล้พระขึ้นมา พระจะรู้เรื่องของเจ้านายเจ้านายเวลามันต้องการๆ สิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์ไหมถ้าเป็นประโยชน์เราต้องเหยียบคันเร่งขึ้นไป เป็นประโยชน์คือทำบุญกุศลทำคุณงามความดีของเราสิ่งที่เป็นคุณงามความดีของเรามันจะเป็นประโยชน์กับเรา 

แต่คุณงามความดีเวลาสวดมนต์สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องพัฒนาใจของเราสิ่งที่ดีกว่านี้ขึ้นไปเรื่อยๆคนเราเวลาทุกข์ยากขึ้นมาอาหารอะไรๆเราก็หาได้เพื่อจะลองท้องไปก่อน แต่พอเรามีความเลือกได้เราจะเลือกว่าสิ่งนั้นสมควรหรือไม่สมควรสมควรเราถึงจะกิน ถ้าไม่สมควรเราก็จะปฏิเสธออกไปเพราะเราเลือกได้ แล้วถ้าเราเจริญขึ้นไปอาหารเราจะประณีตขึ้นไปเรื่อยๆ 

ใจก็เหมือนกัน เราปรารถนาเรื่องทาน เราทำทานขึ้นมาเราก็มีความสุข เราเห็นความสุขความสุขเรายื่นไปเราให้เด็กๆก็พอใจ ให้ใครๆ ก็พอใจทั้งนั้น สิ่งที่เราให้ไปเรามีความสุขใจไหมโอกาสของเราเป็นผู้ให้ ถ้าเราทุกข์ยากขึ้นมาโอกาสของเราเป็นผู้รับล่ะ สิ่งที่เราเป็นผู้รับเราเป็นคนทุกข์คนยากเราต้องรอความเจือจานจากคนอื่นนั่นนะเป็นกรรมไง กรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน อันนั้นทุกคนสามารถที่จะทำได้ 

แต่เวลาย้อนกลับเข้ามาทาน ศีล พอมีศีลความปกติของใจเริ่มบังคับตนเอง จะบังคับตนเองเราจะดีได้ต้องด้วยการบังคับต้องการฝึกฝนสัตว์ สัตว์ป่าเป็นสัตว์ป่า คนเอามาฝึกฝนมันยังใช้งานได้หัวใจของเราถ้ามันปล่อยไปมันเหมือนสัตว์ป่านะ มันคิดไปตามอำนาจของมัน เรามีศีลขึ้นมาเพื่อจะครอบงำมันเพื่อพยายามทำให้มันอยู่ในธรรมวินัย 

ถ้าอยู่ในธรรมวินัย เราเดินตามธรรมวินัยไปเราจะถึงที่สุด อาหารอันประณีตมันถึงที่สุดแล้วนี่ประณีตจน เห็นไหม รถของเราเราต้องเติมน้ำมันตลอดไปเราต้องพยายามทำงานตลอดไปบุญกุศลเราสร้างสมตลอดไปมันจะเวียนตายเวียนเกิดไปในวัฏฏะถึงที่สุด แต่เวลาไปถึงที่สุดแล้วน้ำมันไม่ต้องเติม น้ำมันเต็มอยู่ตลอดเวลานะ น้ำมันนี้มันเป็นทิพย์ มันไม่เคยบกพร่องกับใจดวงนั้นเลย สิ่งที่ใจดวงนั้นเต็มอิ่มแล้วจะไม่มีความบกพร่องอาหารที่ว่ามันถึงที่สุด 

เราเกิดในวัฏฏะ มันมีอาหาร ๔ กวฬิงการาหารอาหารเป็นคำข้าว สัตว์โลกต้องอาศัยคำข้าวนี้เป็นอาหารเพื่อความเป็นอยู่วิญญาณาหารเทวดาเขาใช้วิญญาณคือความคิดไงความคิดความนึก นึกขึ้นมานี่ถ้าเราไม่สร้างบุญกุศลขึ้นมานึกไม่ได้หรอกเวลาเราคิดว่าถ้าเป็นนึกเอาเป็นความโกหกเพราะเรานึกได้เรานึกได้เพราะเรามีกายกับใจเรามีภาพสิ่งต่างๆ ที่เราเห็นได้ เรานึกได้เราจินตนาการได้ เราคิดได้แต่เวลาเราไปเราไม่ได้ทำอะไรไว้ ให้เรานึกถึงนิพพานสิเราเข้าใจไหมทุกคนจะงงหมดเลย เพราะอะไร เพราะถ้าคนเข้าถึงนิพพานแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก สิ่งนั้นใจถึงไม่เคยเห็นสภาวะสิ่งนี้ จะไม่เคยเห็นสภาวะสิ่งนี้ 

แต่ถ้าเรานึกสิ่งต่างๆนึกเรื่องวัฏฏะวนเราจะนึกได้เพราะอะไรเพราะใจมันเคยสัมผัสอยู่แล้วเราเคยอ่านตำรับตำรานี่มันนึกได้ สิ่งนั้นนึกได้ เรานึกสิ่งที่ว่ามันเป็นภาพความคิดมันเป็นสัญญาแต่เวลาเราเป็นทิพย์ขึ้นมานี่อาหารเราคิดถึงมันก็อิ่มขึ้นมา เราไม่ได้นึกภาพอย่างนั้น เรานึกอาหารของเราแต่ถ้ามันไม่มีนึกจนตายมันก็ไม่มี เพราะเราสร้างไม่ได้อย่างนั้น เราไม่ได้สร้างขึ้นมามันถึงต่างกันในเทวดาสมบัติของเขาคือแสงสว่างคือสิ่งที่เป็นทิพย์ในร่างกายของเขา มันจะมีมากมีน้อยแล้วแต่เขา เขาจะมีความสุขของเขา นั่นวิญญาณาหาร 

ผัสสาหารเห็นไหมพรหม พรหมผัสสาหาร ผัสสะต่างๆ ผัสสะความกระทบของใจ นี่มันจะมีความอิ่มของมัน อาหารนี่ ใจมันพัฒนาขึ้นไปสูงขึ้นไปจากการวิปัสสนาถ้าวิปัสสนาจะเห็นสิ่งนี้ สิ่งที่ว่าในภพใดในวาระที่เราไปเสวยตรงไหนมันจะต้องใช้อาหารของมันอย่างไร

แล้วมโนสัญเจตนาหารถ้าปริยัติเขาตีกันเขาตีกันเรื่องธรรมดาเรานี่ เรื่องใจมโน คือใจมโนสัญเจตนาหารคือความเจตนาของใจใจทำคุณงามความดี แต่มโนเห็นไหม มโนมิงปิ นิพพินทะติ มโนสมฺผสฺเสปิ นิพฺพินฺทติใจของเราเราก็เบื่อหน่ายเพราะมันมีใจของเรา เราถึงต้องมีความกระทบกระทั่งต่างๆ เราต้องคิด เป็นนามธรรมเกิดดับในหัวใจ สิ่งต่างๆ เรายับยั้งได้เลย เพียงแต่ยับยั้งใจของเราไม่ได้ นี่มันก็น่าเบื่อหน่ายเวลามันสัมผัสกันมันคิดกระทบกับสิ่งใด ความสัมผัสเกิดขึ้นก็น่าเบื่อหน่าย สิ่งที่ผลเกิดขึ้นมาจากการสัมผัสนั้นเป็นความทุกข์มันก็น่าเบื่อหน่าย สิ่งนี้เบื่อหน่ายทั้งหมด 

พอเบื่อหน่ายทั้งหมด มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นวิปัสสนาญาณเข้าไปจับสิ่งนี้พิจารณาสิ่งนี้แล้วทำลายสิ่งนี้ออกไป มโนสัญเจตนาหารคือว่ามันพ้นออกไปจากตรงนั้นแล้วมันย้อนกลับเข้ามาได้ที่ว่าพระอรหันต์มาในสมมุติมาตรงนี้ไง ไม่มีภพไม่มีต่างๆในหัวใจ แต่เป็นทางผ่านมโนคือตัวสมมุติ มโนแล้วเจตนา จะสื่อถึงใครจะเข้าถึงใคร แต่จะสื่อถึงใครจะเข้าถึงใครต้องใจของเขา ไม่ใช่สื่ออย่างเรา อย่างเรานี่เราเป็นวิญญาณวิญญาณความรู้ในอายตนะ นี่วิญญาณ ในตาหู จมูก ลิ้น กายใจ กระทบจากใจ ใจกระทบขึ้นมานี่ 

แต่เวลาเขาสื่อขึ้นมานี่เขาเอาวิญญาณอันละเอียดต่างหาก วิญญาณละเอียดคือว่า อวิชฺชา ปจฺจยาสงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ จิตที่สงบคือว่ามันปล่อยวางอารมณ์ที่หยาบๆ เข้ามามันจะเข้าไปขณิกสมาธิอุปจารสมาธิอัปปนาสมาธิเวลาเข้าสมาธินี่บุญกุศลใครสร้างสมมานี่ครูบาอาจารย์จะมากล่าวธรรม จะมาสื่อกัน เวลาครูบาอาจารย์มาสอนกันนะ เวลาเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันติดขัดตรงนั้นนะ นี่สิ่งนี้ผิดพลาด สิ่งนี้ควรทำ สภาวะแบบนี้เป็นไปไม่ได้อันนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค อันนี้เป็นกามสุขาลิกานุโยค มันจะพลาดไป ครูบาอาจารย์จะมาสอน มโนสัญเจตนาหารมันยังสื่อกันในวัฏฏะได้ สิ่งที่พ้นออกไปสุขอันนั้นก็ยังสื่อกันได้ สื่อกลับมาสิ่งนี้ อาหารที่ว่ามันสัมพันธ์กันไง แล้วเราทำของเราขึ้นมา เจ้านายยังอยู่กับเรานะ 

ดูสิ คนเขาตายไปแล้วเจ้านายเขาหลุดออกไปจากใจ พ้นออกไปจากร่างกายแล้วเขาก็ต้องจุติตามแต่ภพแต่กรรมของเขา ร่างกายเขาก็ต้องเอาไปทิ้งเอาไปเผา ตามธรรมชาติของเขา แล้วเรายังมี เจ้านายก็ยังอยู่ แล้วเจ้านายก็ต้องคิดให้เป็นด้วย ถ้าเจ้านายคิดเป็นมันจะเริ่มแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์กับมัน เรื่องของโลกเราต้องมีที่อยู่แน่นอน คนเรานะถ้ามีบุญกุศลมีความคิดดีนะ หน้าที่การงานก็ดี คนดีนิสัยดีทำดีจะเป็นความดีตลอดไป 

ถ้าคนเรานะไม่มีบุญกุศลเวลาพลัดพรากเวลามันโดนทุกข์ยาก มันก็ทุกข์ยากมาแต่ข้างนอก แต่ทุกข์ยากหรือไม่ทุกข์ยากมันเป็นเปลือก สิ่งที่เป็นเปลือกเพราะว่ามันเป็นจริต มันเป็นนิสัย เป็นอำนาจวาสนาแต่ตัวจริงๆ คือตัวใจ คือตัวเจ้านายนั่นนะ ถ้าเจ้านายนั้นนะมันพลิกพัฒนาเข้าไปมันจะไปถึงมัน มันจะไปเห็นตัวของมัน 

แล้วมันจะทำลายสิ่งต่างๆ แล้วมันจะปล่อยวางเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ปล่อยวางจากกายนอก ขันธ์ข้างนอกปล่อยวางเข้ามา แล้วก็ปล่อยกายนอกกายในก็ปล่อยเข้ามา กายในกายก็ปล่อยเข้ามา ถึงตัวจิตล้วนๆ กายของจิตเห็นไหมกายของจิตนะจิตนี้มันขึ้นมาให้เห็นเป็นสภาวะของรูปร่างของมันก็ได้เป็นกายอันละเอียดยิบอยู่ในหัวใจ ทิ้งสภาวะต่างๆเข้ามา พัฒนาเข้ามา เจ้านายถึงสุดท้ายแล้วเจ้านายมันก็ต้องวิปัสสนาญาณของมันสัพเพ ธัมมาอนัตตา สภาวธรรมที่เกิดขึ้นมามันจะพัฒนาขึ้นมา ทำได้ เราเกิดขึ้นมาแล้วทำได้ อาหารของใจ ใจนี้พ้นจากทุกข์ได้หมดเลย 

ถ้าอาหารของใจที่เรากินอยู่เหมือนเติมน้ำมันอยู่นี้ มันก็เป็นส่วนหนึ่งแต่ถึงที่สุดแล้วอาหารนั้นไม่จำเป็น อาหารนั้นเป็นเรื่องของวัฏฏะความอิ่มของใจพ้นออกไปจากกิเลส เจ้านายถึงควรจะทำอย่างนั้นได้ มีศาสนา มีคำสั่งสอนคือมีเครื่องดำเนิน ถ้าเรามีคำสั่งสอนมีครูบาอาจารย์สอนเราไปได้ถ้าไม่มีนะเราต้องค้นคว้าเองนะ 

หลวงปู่มั่นไม่มีใครสอนค้นคว้าของท่านเอง แต่ท่านมีบารมีของท่านมากท่านถึงทำของท่านได้ อย่างพวกเรานี่มียิ่งทำยิ่งงงๆ งงมาก เพราะความเห็นภายในมันมหัศจรรย์ มันเป็นไปร้อยแปดสิ่งที่ร้อยแปดนะถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำเราจะมีโอกาสน้อยมาก เพราะบารมีเราน้อยเราสร้างมาก็น้อย การทำลายก็น้อยเราถึงต้องพยายามสร้างสมขึ้นมาเพื่อให้เป็นบารมีของเราในหัวใจของเราให้มันสมความปรารถนา 

เจ้านายก็มีความสุขร่างกายก็อาศัยกันไปชั่วคราวจะมีความสุขคือว่ามันมีความสบายเย็น ร้อน อ่อนแข็ง มันพอใจมันๆ ก็มีความสุขด้วยประสาบ่าว บ่าวนี้ถ้ามันมีอบอุ่นเวลาหนาวก็อบอุ่น เวลาร้อนมันก็เย็นของมันพอ มันต้องการแค่นั้นแหละ แต่ความสุขของใจมันต้องการมากกว่านั้นต้องการสิ่งที่มันอิ่มเต็มในหัวใจแล้วมันจะพ้นไปจากกิเลส เอวัง